หน่วยที่ 4 กรอบแนวคิดในการวิจัย
และขอบเขตการวิจัย
อ.ธิดารัตน์
เลิศวิทยากุล
คณะพยาบาลศาสตร์
วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย
-
ความสำคัญของการกำหนดกรอบวิจัย
-
ที่มากรอบแนวคิดการวิจัย
-
หลักการเขียนกรอบแนวคิด
-
การเลือกขอบเขตการวิจัย
ภาพที่ 1 แสดงขอบเขตการศึกษาการวิจัยทางการพยาบาล
|
ภาพที่ 2 แสดงกระบวนการวิจัย และ การวิเคราะห์ทางสถิติ
ความสำคัญของการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
การเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย
เป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นปัญหามากสำหรับนักวิจัยมือใหม่ เพราะจะเกิดความสับสน
แม้ว่าจะได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาแล้วก็ตาม เพราะในงานวิจัยแต่ละเล่มก็จะเขียนกรอบแนวคิดการวิจัยไว้หลากหลายรูปแบบ
ซึ่งหน่วยการเรียนนี้ จะกล่าวถึง ที่มา
และหลักการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัยให้ชัดเจน เนื่องจากการสร้างกรอบแนวคิดที่ชัดเจน
มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัยและผู้ที่อ่านงานวิจัย ดังนี้
1. สามารถเข้าใจแนวคิดสำคัญที่แสดงถึงแก่นของปัญหาการศึกษาในระยะเวลาอันสั้น
2. เป็นตัวชี้นำทำให้ผู้วิจัยเกิดความมั่นใจว่างานวิจัยเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
3. สร้างความชัดเจนในงานวิจัยว่าจะสามารถตอบคำถามที่ศึกษาได้
4. เป็นแนวทางในการกำหนดความหมายตัวแปร
การสร้างเครื่องมือ และการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย
5. สามารถเชื่อมโยงไปสู่การกำหนดกรอบทิศทางการทำวิจัยได้เหมาะสม
ถูกต้อง โดยเฉพาะวิเคราะห์ข้อมูล
กรอบทฤษฎี และกรอบแนวคิดการวิจัยคืออะไร
ความหมายของกรอบทฤษฎี (Theoretical
Framework)
บุญใจ ศรีสถิตย์นรกูร (2550, หน้า 41) หมายถึง ทฤษฎี (Theory) แนวคิดหรือ มโนทัศน์ (Concept)
ซึ่งถูกบันทึกในวรรณกรรม และผู้วิจัยนำมาใช้สนับสนุนการทำวิจัย
ใช้สนับสนุนระบุสมมติฐานที่ทดสอบและใช้อธิบายผลการวิจัยที่ค้นพบอย่างมีเหตุผลเชิงวิชาการ
ความหมายของกรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework)
สิน พันธุ์พินิจ(2553,
หน้า 339) กล่าวว่า การเขียนโครงการวิจัย
ต้องเขียนกรอบแนวคิดการวิจัยให้ชัดเจน
กรอบแนวคิดเป็นความคิดรวบยอดของการวิจัยที่สรุปมาจากแนวคิดทฤษฎี
ต้องชี้ให้เห็นว่ามีกรอบที่ศึกษาตัวแปรอะไรบ้าง อะไรเป็นตัวแปรอิสระ
อะไรเป็นตัวแปรตาม และจะศึกษาความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์
เมื่อเขียนแนวคิดเชิงพรรณาแล้วอาจลองเขียนกรอบแนวคิดการวิจัยให้เป็นรูปธรรมด้วย
รัตนะ บัวสนธ์(2552,
หน้า 79) อธิบายไว้ว่า
กรอบความคิดการวิจัยนั้น ก็คือ
กรอบเชิงทฤษฎีที่ลดรูปลงมาเพื่อใช้สำหรับการวิจัยเรื่องนั้นๆนั่นเอง กล่าวคือ ในขณะที่กรอบเชิงทฤษฎีนั้นได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัย
หรือความสัมพันธ์ของปัจจัย หรือตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับปัจจัย
หรือตัวแปรตาม หรือปรากฏการณ์ที่นักวิจัยต้องการศึกษา
ซึ่งปัจจัยหรือตัวแปรที่กล่าวนี้มาจากทฤษฎีแนวคิดและผลงานวิจัยต่างๆ แต่เมื่อจะดำเนินงานวิจัยนักวิจัยได้ปรับลดตัวแปรบางตัวลง
หรือทำให้ตัวแปรบางตัวคงที่ แล้วปรับกรอบเชิงทฤษฎีใหม่
จะได้เป็นกรอบความคิดการวิจัยเพื่อใช้สำหรับการวิจัยเรื่องนั้นเท่านั้น
หากเปลี่ยนเรื่องดำเนินการวิจัยใหม่
โดยใช้กรอบเชิงทฤษฎีอื่นก็ต้องสร้างกรอบความคิดการวิจัยใหม่อีกเช่นกัน
บุญธรรม
กิจปรีดาบริสุทธิ์(2549,
หน้า 39-40) กล่าวว่า กรอบแนวคิดในการวิจัย
เป็นภาพพจน์ที่เป็นแนวคิดในการวิจัยเรื่องนั้น การกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย
จะต้องเริ่มจากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ประเด็นปัญหา กำหนดปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน
และหาแนวทางการค้นหาคำตอบ จากนั้นประมวลเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยเรื่องนั้น
จึงต้องทำความเข้าใจในเรื่องต่อไปนี้
1. ปัญหาหลักที่ต้องการวิจัยคืออะไร และอะไรเป็นปัญหาที่ต้องการทราบจริงๆ
2. อะไรเป็นตัวแปรตามและตัวแปรอิสระ ตัวแปรแทรกและตัวแปรควบคุม ตัวแปรต่างๆที่นำมาศึกษามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร
3. ข้อมูลที่จะใช้ในการวิจัยเรื่องนั้นมีอะไรบ้าง
แหล่งข้อมูลอยู่ที่ไหนและจะเก็บรวบรวมมาได้อย่างไร
4. การหาคำตอบในการวิจัยนั้น สามารถใช้ระเบียบวิธีวิจัย หรือแบบการวิจัย(research
design) ในลักษณะใดได้บ้าง และจะเลือกใช้การวิจัยแบบใด
ทำไมจึงเลือกแบบนั้น
5. มีแนวคิดและทฤษฎีอะไรบ้างที่สนับสนุนการวิจัยในปัญหานี้
6. มีข้อตกลงเบื้องต้นในการทำวิจัยเรื่องนี้หรือไม่ มีอย่างไรบ้าง
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวนำมาประมวลรวมเป็นกรอบแนวคิดโดยพยายามนำเสนอในลักษณะเป็นรูปธรรม
ซึ่งมักจะทำเป็นแผนผังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา ประกอบการอธิบาย
สุวิมล
ว่องวาณิช(2551, หน้า 5) กล่าวว่า การนำเสนอกรอบความคิดการวิจัย
ควรนำเสนอในบทที่ 2 ของรายงานการวิจัย
เพราะต้องเสนอกรอบความคิดซึ่งเป็นผลจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง แต่ที่พบโดยทั่วไป
มักจะพบว่ามีการนำเสนอกรอบความคิดของการวิจัยในบทที่ 1 ซึ่งไม่ค่อยเหมาะสม เนื่องจากข้อมูลที่นำเสนอในบทที่ 1
อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้อ่านหรือแม้แต่นักวิจัยเองเข้าใจภาพรวมของผลการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ดังนั้น กรอบความคิดการวิจัยที่นำเสนออาจจะทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องของแนวเหตุผลในการกำหนดตัวแปรมาศึกษา
เพราะความรู้ที่รองรับยังนำเสนอไม่เพียงพอ
นงลักษณ์
วิรัชชัย , 2538) กล่าวว่า กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) หมายถึง
แบบจำลองที่นักวิจัยสร้างขึ้น โดยใช้ทฤษฎีและผลการวิจัยในอดีต เพื่อแทนความเกี่ยวข้องสัมพันธ์
ระหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติและจะนำไปตรวจสอบว่า
มีความสอดคล้องับข้อมูลเชิงประจักษ์หรือไม่ เพียงใด
ในรายงานการวิจัย นักวิจัยนิยมเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยในรูปของโมเดลหรือแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมดที่ใช้ในการวิจัย
กรอบแนวคิดในการวิจัยที่จะลดรูปจากกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) ในกรอบความคิดเชิงทฤษฎีจะรวมตัวแปรทุกตัวที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับตัวแปรตามที่นักวิจัยต้องศึกษา
แต่ในการวิจัยนักวิจัยอาจพิจารณาควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรบาตัว ทำให้อิทธิพลจากตัวแปรนั้นคงที่ หรือจำกัดขอบเขตการวิจัยไม่ศึกษาตัวแปรทั้งหมด ในกรอบความคิดเชิงทฤษฎี
ตัวแปรที่เหลืออยู่ในกรอบแนวคิดในการวิจัยจึงอาจมีจำนวนน้อยกว่ากรอบแนวคิดในเชิงทฤษฎี
สรุปกรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework) หมายถึง กรอบของการวิจัยในด้านเนื้อหาสาระ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปร และการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ในการสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย
ผู้วิจัยจะต้องมีกรอบพื้นฐานทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ศึกษาและมโนภาพ
(concept)ในเรื่องนั้น
แล้วนำมาประมวลเป็นกรอบในการกำหนดตัวแปรและรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง
ๆ ในลักษณะของกรอบแนวคิดในการวิจัยและพัฒนาเป็นแบบจำลองในการวิจัยต่อไป
การเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัยอย่างไร
การสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย
เป็นขั้นตอนของการนำเอาตัวแปรและประเด็นที่ต้องการทำวิจัยมาเชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้องในรูปของคำบรรยาย
แบบจำลองแผนภาพหรือแบบผสมการวาง กรอบแนวคิดในการวิจัยที่ดี จะต้องชัดเจน แสดงทิศทางของความสัมพันธ์
ของสิ่งที่ต้องการศึกษา หรือตัวแปรที่จะศึกษา สามารถใช้เป็นกรอบในการกำหนดขอบเขตของการวิจัย
การพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย รูปแบบการวิจัย ตลอดจนวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
หลักสำคัญของการเขียนกรอบแนวคิดการวิจัย
คือ
1. กำหนดตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ ไว้ด้านซ้ายมือ
พร้อมทั้งใส่กรอบสี่เหลี่ยมไว้ เพื่อให้สามารถแยกแยะตัวแปรที่ต้องการศึกษาได้
2. กำหนดตัวแปรตาม ไว้ด้านขวามือ พร้อมทั้งใส่กรอบสี่เหลี่ยมไว้
เพื่อให้สามารถแยกแยะตัวแปรที่ต้องการศึกษาได้
3. เขียนลูกศรชี้จากตัวแปรต้นแต่ละตัวมายังตัวแปรตามให้ครบทุกคู่ที่ต้องการศึกษา
กรอบแนวคิดในการวิจัย เป็นผลสรุปจากการศึกษาทฤษฏีและผลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาการวิจัย
ซึ่งผู้เสนอเค้าโครงสรุปเป็นแนวคิดของตนเองสำหรับการดำเนินการวิจัย ของตน โดยทั่วไปก่อนการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
ผู้วิจัยจำเป็นต้องศึกษา ทฤษฏีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มากพอว่ามีใครเคยทำวิจัยเรื่องทำนองนี้มาบ้างเขาทำอย่างไรและข้อค้นพบของการวิจัยมีอะไรบ้างแล้วนำมาประกอบการวางแผนการวิจัยของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดกรอบในเชิงเนื้อหาสาระซึ่งประกอบด้วยตัวแปรและการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสำหรับการวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive research) กรอบแนวคิดในการวิจัยอาจมีแต่การระบุเฉพาะตัวแปรว่ามีตัวแปรอะไรที่จะนำมาศึกษา
กรอบแนวคิดดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนขอบเขตทางด้านเนื้อหาสารของการวิจัย ส่วนการวิจัยประเภทอธิบาย
(Explanatory research) กรอบแนวคิดของการวิจัยมีการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วย
กรอบแนวคิดคือการประมวลความคิดรวบยอดของงานวิจัยว่างานวิจัยที่กำลังทำอยู่นี้
มีตัวแปรอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษาเป็นอย่างไร อะไรเป็นตัวแปรอิสระ
อะไรเป็นตัวแปรตาม
แหล่งที่มาของกรอบแนวคิดการวิจัย
1.
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งกรอบแนวคิดที่รัดกุม มีเหตุมีผล ผู้วิจัยควรอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาทฤษฎีต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาพยาบาล สาขาแพทย์
หรือสาขาทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ ทั้งนี้เพราะไม่เพียงแต่จะได้ตัวแปรต่างๆ เท่านั้น ยังได้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรกับปรากฏการณ์ที่ศึกษาอย่างมีเนื้อหาสาระ
คำอธิบายหรือข้อสรุปต่างๆ ที่ได้จากการวิเคราะห์หรือสรุปผลจะได้มีความหนักแน่นในเชิงทฤษฎี
ดังนั้นการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องนอกจากจะชี้ให้เห็นถึงตัวแปรใดสำคัญและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้ว
ยังทำให้กรอบแนวคิดในการวิจัยมีแนวทางที่ชัดเจนและมีเหตุผล
2.
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
หมายถึงงานวิจัยที่ผู้อื่นได้ทำมาแล้วมีประเด็นตรงกับประเด็นที่เราต้องการศึกษา
หรือมีเนื้อหา หรือตัวแปรบางตัวที่ต้องการศึกษารวมอยู่ด้วย งานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในสาขาทางการพยาบาลเท่านั้น
แต่อาจจะอยู่ในสาขาอื่นๆ ด้วย ดังนั้นผู้วิจัยควรมุ่งศึกษาว่าผู้ที่ได้ทำวิจัยมาแล้วมองเห็นว่า
ตัวแปรใดมีความสำคัญหรือไม่อย่างไรกับปรากฏการณ์หรือประเด็นที่เราต้องการศึกษา หรือบางตัวแปรอาจจะไม่เกี่ยวข้องแต่ผู้วิจัยไม่ควรตัดทิ้ง
เพราะสามารถนำมาศึกษาวิเคราะห์เพื่อยืนยันต่อไปว่า มีหรือไม่มีความสำคัญในกลุ่มประชากรที่ศึกษาอยู่
3.
กรอบแนวคิดของผู้วิจัยเองที่สังเคราะห์ขึ้นเอง นอกจากการศึกษาผลงานวิจัยและทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้ว
กรอบแนวคิดยังจะได้มาจากความคิดและประสบการณ์การทำงานของผู้วิจัยเองอีกด้วย
ภาพที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการทบทวนวรรณกรรม กรอบแนวคิดทางทฤษฎี และกรอบแนวคิดในการวิจัย
จากแผนจะเห็นได้ว่าจากการทบทวนวรรณกรรม หรือทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่สนใจทำวิจัย จะช่วยให้ผู้วิจัยมีกระบวนสร้างมโนทัศน์ จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติ หรือมีการมองเชิงมโนทัศน์ (Conceptualization) ที่ชัดเจน
จนได้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical Framework) เช่น ตัวแปรอิสระ IP ที่มีผลต่อตัวแปรตาม
DP อาจจะมีถึง 8 ตัวแปร
แต่เวลาทำวิจัยนักวิจัยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแปรทุกตัว ตามกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี ผู้วิจัยสามารถจดรูปโดยดึงตัวแปรบางตัวออก เช่น
ดึง IP1-3 ออก แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ (เกิดจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในอดีต)ว่าไม่มีผลหรือชี้ได้ว่า IP1-IP3 ส่งผลต่อ DP แน่นอน
จึงไม่ต้องศึกษาซ้ำ
การตัดสินใจลดตัวแปร IP1-IP3 เรียกกรอบแนวคิด ไนติว่า “กรอบแนวคิดในการวิจัย” (Conceptual
Framework) ซึ่งนักวิจัยจะใช้เป็นแนวทางสำคัญ ในการทำวิจัยต่อไป นอกจากนี้
ยังเป็นแนวทางในการกำหนดสมมติฐานที่ดีด้วย (จิตราภา คุณวาบุตร, 2550)
หลักการเลือกและประโยชน์ของกรอบแนวคิดในการวิจัย
กรอบแนวคิดที่ดีควรจะเป็นกรอบแนวคิดที่ตรงประเด็นในด้านเนื้อหาสาระตัวแปรที่ต้องการศึกษา
มีความสอดคล้องกับความสนใจในเรื่องที่วิจัย มีความง่ายและไม่สลับซับซ้อนมาก และควรมีประโยชน์ในเชิงนโยบายหรือการพัฒนาสังคม
กรอบแนวคิดที่จะนำมาใช้ในการวิจัยจะมีประโยชน์ต่อการดำเนินการวิจัยขั้นต่อ
ๆ ไป โดยเฉพาะในขั้นการรวบรวมข้อมูล ขั้นการออกแบบการวิจัย ขั้นการวิเคราะห์ และการตีความหมายผลการวิเคราะห์
การนำเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัย
การนำเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยอาจทำได้หลายวิธี
ดังนี้
1.
การเขียนบรรยาย
โดยระบุตัวแปรที่ศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปร
2.
การเขียนแบบจำลองหรือสัญลักษณ์และสมการ
3.
การเขียนแผนภาพ แสดงตัวแปรต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปร
4.
การเขียนแบบผสมผสาน
หลักเกณฑ์ในการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย
1.
ตัวแปรแต่ละตัวที่เลือกมาศึกษา
หรือที่นำเสนอไว้ในกรอบแนวคิดในการวิจัยต้องมีพื้นฐานเชิงทฤษฏีว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการศึกษา
2.
มีความตรงประเด็นในด้านเนื้อหาสาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านตัวแปรอิสระหรือตัวแปรที่ใช้ควบคุม
3.
มีรูปแบบสอดคล้องกับความสนใจ หรือ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
4.
ระบุรายละเอียดของตัวแปรและหรือสามารถแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรได้ชัดเจนด้วยสัญลักษณ์หรือแผนภาพ
หลักในการเลือกกรอบแนวคิดในการวิจัย
หลักสำคัญในการเลือกกรอบแนวคิดในการวิจัยทางการพยาบาล
มีอยู่ด้วยกัน 4 ประการ คือ
1. ความตรงประเด็น กรอบแนวคิดที่ตรงประเด็นของการวิจัย
กล่าวคือ มีความตรงประเด็นในด้านเนื้อหา ซึ่งพิจารณาได้จากเนื้อหาของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรที่ใช้ควบคุม
และระเบียบวิธีที่ใช้ในการวิจัย ในกรณีที่มีแนวคิดหลายๆ แนวตรงกับหัวข้อเรื่องที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา
ผู้วิจัยควรเลือกแนวคิดที่ตนเองคิดว่าตรงกับประเด็นที่ต้องการศึกษามากที่สุด
2. ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน กรอบแนวคิดที่ควรจะเลือกควรเป็นกรอบที่ง่ายแก่การเข้าใจ
ไม่ยุ่งยากซับซ้อน หากมีทฤษฎีหลายทฤษฎีที่จะนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิด ผู้ที่ทำวิจัยควรเลือกทฤษฎีที่ง่ายที่สุดที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษาได้พอๆกัน
3. ความสอดคล้องกับความสนใจ กรอบแนวคิดที่ใช้ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวแปร
หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ที่จะทำการวิจัย
4. ความมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติการพยาบาล
การวิจัยนั้นควรมีกรอบแนวคิดสะท้อนถึงประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลด้วย
วิธีการสร้างกรอบแนวคิด
การสร้างกรอบแนวคิด
เป็นการสรุปโดยภาพรวมว่างานวิจัยนั้นมีแนวคิดที่สำคัญอะไรบ้าง มีการเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างไร
มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ผู้วิจัยต้องนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาวิเคราะห์ สังเคราะห์
เพื่อให้ได้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัยจริงๆ สิ่งสำคัญคือ ผู้วิจัยจำเป็นต้องศึกษาความรู้ในทฤษฎีนั้นๆ
ให้มากพอ ทำความเข้าใจทั้งความหมายแนวคิดที่สำคัญของสมมติฐานจนสามารถเชื่อมโยงในเชิงเหตุผลให้เห็นเป็นกรอบได้อย่างชัดเจน
การเชื่อมโยงของแนวคิดนี้ บางที่เรียกว่า รูปแบบ หรือตัวแบบ (model)
วิธีการสร้างกรอบแนวคิด
กระทำได้ 2 ลักษณะ คือ
1. โดยการสรุปประเด็นต่างๆ จากข้อมูลที่ผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้กระจ่าง
2. กำหนดจากกรอบทฤษฎีที่มีใช้ เป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิจัย ในขอบเขตของเอกสารและงานวิจัยที่ได้ศึกษา
เช่น การนำทฤษฎีการพยาบาลของรอย โอเร็ม มาใช้เป็นกรอบการวิจัยในการวิจัยเชิงบรรยายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาตัวแปร
กรอบแนว คิดมักจะเป็นในลักษณะที่ 1 คือการสรุปประเด็นข้อมูล
ส่วนในการวิจัยทดลอง จะต้องมีพื้นฐานทฤษฎี หลักการของการวิจัยที่ชัดเจน การกำหนดกรอบแนวคิดมักจะเป็นลักษณะที่
2
วิธีการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย
ในการเขียนกรอบแนวคิด
ผู้วิจัยจะต้องเขียนแสดงความสัมพันธ์ของแนวคิดในการวิจัยของตนให้ชัดเจน ในขอบเขตของเอกสารและงานวิจัยที่ศึกษา
อาจเขียนไว้ท้ายก่อนหน้าส่วนของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง(ท้ายบทที่ 1) หรือ
ท้ายส่วนของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง(ท้ายบทที่ 2) ก็ได้ รูปแบบการเขียนทำได้ 3 ลักษณะ คือ
1. เขียนแบบบรรยายต่อเนื่องกันโดยไม่แยกหัวข้อ
ความยาวของการเขียนประมาณ 1 หน้ากระดาษ
2. เขียนเป็น
แผนภูมิ แสดงความสัมพันธ์และทิศทางระหว่างตัวแปรที่ศึกษา หรือ
3. เขียนเป็นแผนภูมิประกอบคำบรรยายเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ถ้ามีตัวแปรหลายตัว หรือตัวแปรมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อน
รูปแบบการนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัย
กรอบแนวคิดในการวิจัยหมายถึง การระบุความสัมพันธระหวางตัวแปรชุดตางๆ
เปน อยางไร กรอบแนวคิดในการวิจัยจึงแตกตางจากขอบเขตของการวิจัย
ผูวิจัยจะพบเห็นการวางกรอบแนวคิดในการวิจัยไวหลายที่ดวยกัน วิทยานิพนธบางเลมนําเสนอกรอบแนวคิดในบทที่
1 แตการนําเสนอที่มีเหตุผลควรนําเสนอในบทที่
2 เพราะกรอบแนวคิดในการวิจัยไมไดเกิดขึ้นจากสุญญากาศหรือโดยอัตโนมัติ
แตเกิดจากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีตาง ๆ รวมทั้งงานวิจัยที่มีมาแลวหรือที่ใกลเคียงทั้งในสาขาที่เกี่ยวของหรือสาขาอื่นๆ
กรอบแนวคิดในการวิจัยที่สมบูรณตองผานกระบวนการทําความชัดเจนในประเด็นคําถามของการวิจัยและการทบทวนแนวคิดทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวของมาแลว
ซึ่งการนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยสามารถนําเสนอได 4 รูปแบบดังตอไปนี้
1. การนําเสนอเชิงบรรยาย
เปนการพรรณนาดวยประโยคขอความตอเนื่องเพื่อแสดงความสัมพันธระหวางตัวแปร
2 ชุดคือ ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรเหตุ กับตัวแปรตามหรือตัวแปรผลแตในการวิจัยบางประเภท
เชน การวิจัยเชิงสํารวจไมมีการกําหนด วาตัวแปรใดเปนตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตาม การบรรยายจึงเปนการอธิบายความสัมพันธของตัวแปรที่ศึกษาชุดนั้น
2. การนําเสนอเชิงภาพ
เปนการนําเสนอดวยแผนภาพจากการกลั่นกรองความเขาใจของผูวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธของตัวแปรที่ใชในการศึกษาของผูวิจัยไดอยางชัดเจน
ซึ่งผูอื่นที่อานเรื่องนี้เพียงแตเห็นแผนภาพแลวเขาใจผูวิจัยควรนําเสนอเฉพาะตัวแปรหลัก
ไมจําเปนตองมีรายละเอียดของตัวแปรในแผนภาพ เป็นการเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ต้องการศึกษาแสดงลำดับการเกิดก่อนหลังของตัวแปร
นอกจากนี้แผนภูมิที่สร้างขึ้นยังสามารถแสดงความเป็นเหตุเป็นผล
ซึ่งนำไปสู่การใช้เทคนิคทางสถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ต่อไปตัวอย่างที่ 1
แผนภาพที่ 4 ตัวอย่างกรอบความคิดของการวิจัยนำเสนอเชิงภาพ
จากตัวอย่างที่ 1 ตัวแปรความรู้
ค่านิยม ฐานะทางบ้าน และอิทธิพลเพื่อน
แต่ละตัวมีผลต่อการติดเชื้อเอดส์ของเด็กวัยรุ่นโดยตรง
ตัวอย่างที่ 2
แผนภาพที่ 5 ตัวอย่างกรอบความคิดของการวิจัยนำเสนอเชิงภาพ
จากตัวอย่างที่
2
ตัวแปรอิทธิพลของเพื่อนมีผลต่อค่านิยม
และส่งผลต่อไปยังการติดเชื้อเอดส์ของเด็กวัยรุ่น
ส่วนตัวแปรความรู้และฐานะทางบ้านมีผลต่อค่านิยม
และส่งผลต่อการติดเชื้อเอดส์ของวัยรุ่น ในขณะเดียวกันตัวแปรความรู้
ฐานะทางบ้านก็มีผลโดยตรงต่อการติดเชื้อเอดส์ของวัยรุ่น
สุวิมล
ว่องวาณิช(2551, หน้า 12) ได้นำเสนอตัวอย่างการกำหนดกรอบความคิดของการวิจัยว่า
ต้องมีการบรรยายข้อความก่อนนำเสนอแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในการวิจัย
ในคำอธิบายดังกล่าวต้องมีการอ้างอิงที่มาของแนวคิดหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
และเชื่อมโยงให้เห็นตัวแปรที่ศึกษา โดยปกติจะกำหนดตัวแปรตามไว้ทางขวามือ
ตัวแปรที่ส่งผลหรือตัวแปรที่อธิบายความสัมพันธ์(ตัวแปรอิสระ)จะอยู่ทางซ้ายมือ
จากการวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับคุณสมบัติของครูที่จะสามารถเป็นนักวิชาการด้านการวิจัยและประเมิน
สรุปได้ว่าประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ วัฒนธรรมการวิจัยและประเมินสมรรถภาพการวิจัยและการประเมิน
ตามกรอบความคิดของการวิจัยในแผนภาพ 1
นอกจากนี้ผลการวิจัยของสุวิมล ว่องวาณิช, อาภรณ์
บางเจริญพรพงค์ และอวยพร เรืองตระกูล(2543) พบว่า
ปัจจัยส่วนบุคคลหลายตัว เช่น อายุ ระดับการศึกษา สังกัด มีผลต่อทักษะการประเมิน
ในแผนภาพ 1 จึงกำหนดกรอบความคิดของการวิจัยว่า
ความเป็นครูมืออาชีพของครูขึ้น น่าจะอยู่กับปัจจัย 3 กลุ่ม
คือ ปัจจัยส่วนบุคคลที่เป็นภูมิหลังของครู (อายุ สังกัด ระดับการศึกษาที่สอน
ขนาดโรงเรียน เพศ สถานภาพ) ปัจจัยส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเฉพาะกับการวิจัยและประเมิน
ได้แก่ ความรู้สึกต่อการวิจัยและประเมินของครู
และระดับของการได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ/ประสบการณ์ด้านการวิจัยและประเมินด้วยวิธีการต่างๆและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน
ได้แก่ ระดับของความเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้ความรู้เป็นฐานของการพัฒนา(knowledge-based)
แผนภาพที่ 6 ตัวอย่างกรอบความคิดของการวิจัย
3. การนําเสนอแบบจําลองคณิตศาสตร
เปนการนําเสนอดวยสมการทางคณิตศาสตรเพื่อใหเห็นความสัมพันธระหวางตัวแปร
2 ชุดไดชัดเจนและชวยใหสามารถเลือกใชเทคนิคการวิเคราะหขอมูลไดอยางเหมาะสม
วิธีนี้นิยมใช้ในการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ เป็นการพยายามอธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์
เช่น
Y = f(P,
Q, R, S)
Y =
การติดเชื้อเอดส์ของเด็กวัยรุ่น
P = ความรู้เรื่องเอดส์
Q = ค่านิยม
R = ฐานะทางบ้าน
S = อิทธิพลของเพื่อน
จากฟังชั่นที่กำหนด
หมายความว่า การติดเชื้อเอดส์ของเด็กวัยรุ่นขึ้นอยู่กับ
หรือมีความสัมพันธ์กับตัวแปร เรื่องความรู้เรื่องโรคเอดส์ ค่านิยม ฐานะทางบ้าน
และอิทธิพลของเพื่อน
4. การนําเสนอแบบผสม
เปนการนําเสนอผสมกันทั้ง 3 แบบหรือ ผสมกัน 2 แบบที่กลาวมาขางตนงานวิจัยบางประเภทไมจําเปนตองนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรอิสระและตัวแปรตามงานวิจัยประเภทนี้ตองการจัดกลุมหรือจัดโครงสรางของตัวแปร
เชนงานวิจัยที่ใชเทคนิคการวิเคราะหปจจัย (Factors analysis) หรืองานวิจัยเชิงคุณภาพ เปนตน
การนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยตองยึดหลักวา “นําเสนอแตนอยเรียบงายและไมรกรุงรัง”
ดังนั้น ผูวิจัยไมจําเปนตองบอกรายละเอียดของตัวแปรที่ใชในการศึกษาทั้งหมด
เพราะจะตองนําเสนอในหัวขอตอไปอยูแลว
วรรณี แกมเกตุ(2551,
หน้า 83) กล่าวว่า ข้อควรระวังก็คือ
กรอบแนวคิดไม่ใช่ข้อสรุปของการวิจัย
แต่เป็นเพียงแนวทางในการแสวงหาข้อมูลหรือคำอธิบายเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ในการที่จะวิเคราะห์หาข้อสรุป
แม้การมีกรอบแนวคิดการวิจัยจะมีประโยชน์อยู่มาก แต่การมีกรอบแนวคิดการวิจัยก็อาจเป็นข้อจำกัดในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมต่างๆได้เช่นกัน
หากการกำหนดกรอบแนวคิดนั้นไม่รัดกุม หรือเป็นกรอบแนวคิดที่ไม่สมเหตุสมผล
นั่นหมายความว่า การทำความเข้าใจกับสิ่งที่ต้องการศึกษา
หรือการอธิบายตัวแปรตามโดยใช้ตัวแปรอิสระที่กำหนดไว้นั้น อาจจะขาดประสิทธิภาพ
ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่มีน้ำหนักในการอธิบายที่น่าพอใจนักเนื่องจากนักวิจัยจะมองไม่เห็นหรือไม่ให้ความสำคัญกับตัวแปรอิสระอื่นๆซึ่งอยู่นอกกรอบแนวคิดที่กำหนดไว้
สรุป
การเลือกกรอบแนวคิด
มีประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับงานวิจัยทุกขั้นตอนตั้งแต่ การรวบรวมข้อมูล
การออกแบบวิจัย การตั้งสมมติฐานการวิจัย รวมถึงการวิเคราะห์และอภิปรายผลการวิจัย
การเขียนขอบเขตการวิจัย
การวิจัยทุกเรื่องจะต้องมีขอบเขตของการศึกษา
เพื่อให้ทราบว่าการวิจัยที่จะศึกษามีขอบข่ายกว้างขวางเพียงใด เนื่องผู้วิจัยไม่สามารถทำการวิจัยได้ครบถ้วนทุกแง่ทุกมุมของปัญหานั้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ปัญหาที่จะทำการวิจัยแน่นอนแล้ว
ผู้วิจัยจะต้องกำหนดขอบเขตของการศึกษาให้ชัดเจนว่าจะครอบคลุมอะไรบ้าง โดยการกำหนดขอบเขตของเรื่องให้แคบลงเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งของปัญหาการวิจัยว่าจะศึกษาในเรื่องใด
ศึกษากับใคร และศึกษาแง่มุมใด
ทั้งนี้เพื่อตีกรอบความคิดของผู้วิจัยและผู้อ่านให้อยู่ในวงที่จำกัดไว้
การกำหนดขอบเขตของการวิจัยนั้น
ตามปกติจะกำหนดในเรื่องของประชากร กลุ่มตัวอย่าง
และตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น สถานที่วิจัย หรือระยะเวลา โดยผู้วิจัยอาจจะเขียนเป็นข้อความรวม
ๆ หรือเขียนเป็นประโยคย่อย ๆ แยกหัวข้อกลุ่มตัวอย่างและตัวแปรก็ได้
ซึ่งวิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งในส่วนของขอบเขตการวิจัยนั้น จะประกอบด้วย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยต้องระบุว่าประชากรเป็นใคร
ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวนท่าไร และกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีใด
2. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
ผู้วิจัยต้องระบุตัวแปรอิสระและตัวแปรตามที่ใช้ในการศึกษาทั้งหมด
ในงานวิจัยบางเรื่องอาจจะระบุขอบเขตด้านเนื้อหาเข้าไปด้วย เพื่อให้มองเห็นของเขตในการวิจัยได้มากขึ้น
การเขียนขอบเขตการวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะต้องครอบคลุมว่าจะศึกษาตัวแปรอะไรบ้าง
ซึ่งควรสอดคล้องกับกรอบความคิดของการวิจัย ( Research
framework ) ควรมีการระบุเหตุผลที่เรานำเอาตัวแปรเหล่านั้นเข้ามาศึกษา
ในกรอบความคิด ไม่ควรระบุแต่ชื่อตัวแปรที่ศึกษาว่าคืออะไรเท่านั้น
แต่ต้องขยายความให้เห็นแนวคิดเบื้องหลัง เพื่อให้ผู้อ่านรายงานการวิจัยเข้าใจวิธีคิดหรือทฤษฎีที่ผู้วิจัยใช้เป็นฐานในการกำหนดกรอบแนวคิด
ส่วนขอบเขตประชากรนั้น ผู้วิจัยต้องอธิบายว่ากลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องจริง
แล้วครอบคลุมคนกลุ่มใด ทำไมเราจึงสนใจที่จะศึกษาเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
ตัวอย่างการเขียนขอบเขตในการวิจัย
1. ตัวอย่างการเขียนขอบเขตการวิจัยแบบแยกหัวข้อกลุ่ม
ตัวอย่างและตัวแปร
ตัวอย่างที่
1.1 การวิจัยเรื่อง
“การศึกษาความมีน้ำใจของครู ความอยากรู้อยากเห็น
ความเอื้อเฟื้อ และเพทุบาย ของนักศึกษาปีที่ 1 – 4
วิทยาลัยครูนครปฐม” ได้จำกัดขอบเขตของกลุ่มตัวอย่างและตัวแปรไว้ดังนี้
(นิภา บุณยศรีสวัสดิ์. 2517.)
1.
กลุ่มตัวอย่าง ในการศึกษาครั้งนี้กระทำกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่
1 – 4 ปีการศึกษา 2516 วิทยาลัยครูนครปฐม จำนวน 400 คน เป็นชาย 206 คน หญิง
194 คน และเนื่องจากการรับนักศึกษาเข้าเรียนในระดับชั้นปีที่ 1
มีจำนวนใกล้เคียงกันทุกปี ฉะนั้น นักศึกษาในปีที่ 1 – 4
จึงมีจำนวนใกล้เคียงกัน การสุ่มตัวอย่างจึงสุ่มมาระดับละ 100 คน เท่านั้น
2.
ตัวแปรที่ศึกษา
2.1 ตอนหาความสัมพันธ์ มีตัวแปร 4 ตัว คือ
- ความมีน้ำใจของครู
- ความอยากรู้อยากเห็น
- ความเอื้อเฟื้อ
- ความมีเพทุบาย
2.2 ตอนเปรียบเทียบ
ตัวแปรอิสระ
- เพศ (ชาย – หญิง)
- ระดับชั้นเรียน
ตัวแปรตาม
- ความมีน้ำใจของครู
- ความอยากรู้อยากเห็น
- ความเอื้อเฟื้อ
- เพทุบาย
ตัวอย่างที่
1.2 การวิจัย
เรื่อง................................................................................................................................
1.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
กลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ นักเรียนมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการการอ่านและการเขียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 1 คน โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์
ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) จากการคัดกรองของ
ดร.วาสนา เลิศศิลป์ โดยใช้แบบคัดกรอง KUS – SI Rating Scale
2.ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
ตัวแปรต้น
ได้แก่ การสอนประกอบการใช้แบบฝึกอ่านและเขียน
ตัวแปรตาม
ได้แก่ ความสามารถในการอ่านและการเขียน
3.ระยะเวลาการดำเนินการวิจัย
ระยะเวลาในการฝึก
ตลอดปีการศึกษา 2550 สัปดาห์ละ 2 คาบ คาบละ 50 นาที
โดยใช้เวลาในชั่วโมงภาษาไทยพื้นฐาน และภาษาไทยเพิ่มเติม
4.
เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
คำในมาตราตัวสะกดต่าง
ๆ ได้แก่ มาตราแม่ กง มาตราแม่ กน มาตราแม่ กม มาตราแม่ เกย มาตราแม่
เกอว มาตราแม่ กก
มาตราแม่ กด และมาตราแม่ กบ คำควบกล้ำ ได้แก่ คำควบกล้ำ กร,กล,กว, คร/ ขร , คล / ขล ,
คว/ขว , ปร , ปล ,
พร, พล /ผล และ ตร
2. การเขียนขอบเขตของการวิจัย
แบบเขียนเป็นข้อความรวม ๆ หรือเขียนเป็นประโยคย่อย ๆ
ตัวอย่างที่
2.1 เช่นงานวิจัยเรื่อง “ทัศนคติและพฤติกรรมการใช้บริการร้านค้าปลีกแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร”
กำหนดขอบเขตการวิจัยดังนี้
การวิจัยในครั้งนี้กลุ่มของประชากร
คือ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 5,645,834 คน โดยจะทำการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
จำนวนทั้งสิ้น 625 ตัวอย่าง ซึ่งลักษณะของกลุ่มตัวอย่างคือ
ผู้บริโภคเพศชายหรือหญิง อายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป
และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป
โดยต้องเป็นผู้ที่กำลังซื้อสินค้าหรืออยู่ในบริเวณของร้านค้าปลีกแบบซุปเปอร์มาร์เก็ต
ระยะเวลาทำการวิจัยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 30 มิถุนายน 2543
รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 151 วัน
ตัวอย่างที่
2.2 วิทยานิพนธ์เรื่อง
“ศึกษาการนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาโทรทัศน์ของผู้กำกับ สุธน
เพ็ชรสุวรรณ” มีขอบเขตการศึกษาดังนี้ (เขมพัทธ์
พัชรวิชญ์. 2548)
การศึกษาครั้งนี้จะเป็นการศึกษากรณีด้านแนวคิดในการนำเสนอในภาพยนตร์โฆษณาที่กำกับโดยนายสุธน เพ็ชรสุวรรณ
ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ในประเทศไทยเท่านั้น ระหว่างปี พ.ศ. 2536 – พ.ศ. 2547 รวมระยะเวลา 11 ปีภาพยนตร์โฆษณาที่คัดเลือกในการศึกษานี้ จะคัดเลือกจากภาพยนตร์โฆษณาที่ได้รับรางวัลในงานการประกวดโฆษณายอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย
(Top Advertising Contest of Thailand Awards) งานประกวดโฆษณาภาคพื้นเอเชีย
(Asia Pacific Advertising Festival) และงานเทศการประกวดโฆษณานานาชาติ
เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส (Cannes Lions International Advertising) เท่านั้น
สรุป การกำหนดขอบเขตของปัญหาที่ชัดเจนและแน่นอน
จะช่วยผู้วิจัยได้ดังนี้
1) วางแผนรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง
ๆ ที่เหมาะสม
2) รู้ถึงเทคนิคต่างๆ
ที่เหมาะสมในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการแปล
ผลการวิจัย
3) มองเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
เอกสารอ้างอิง
พัชรา สินลอยมา. (มมป.)
เอกสารประกอบการสอนกรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจัย. คณะวิทยาศาสตร์
สาขานิติ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
.(เอกสารอัดสำเนา)
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์.
(2549). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพมหานคร :
จามจุรีโปรดักท์.
รัตนะ บัวสนธ์.(2552). ปรัชญาการวิจัย.
(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
วรรณี แกมเกตุ.
(2551). วิธีวิทยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์.(พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุวิมล ติรกานันท์.
(2546). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ :
แนวทางสู่การปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 4).
กรุงเทพมหานคร
: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุวิมล ว่องวาณิช.
(2551). เทคนิคการสร้างกรอบความคิดของการวิจัย :
ข้อบกพร่องที่พบบ่อย. เอกสารประกอบการ
บรรยายในงาน
Thailand Research
Expo 2008 วันที่ 16 กันยายน 2551 ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์
กรุงเทพมหานคร.โดย ส่วนส่งเสรอมและพัฒนาการวิจัย ภารกิจบริหารจัดการผลงานวิจัย
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น